วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Happy Birthday : 21 Nov 2013

Happy Birthday : 21 Nov 2013

เคยได้ยินว่า
ถ้าเราอยากรู้จักใคร 
ให้ลองอ่านหนังสือที่เค้าอ่าน..

หนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่ "คนที่เราสนใจ" แนะนำมา
ถึงจะเคยดูแล้ว
แต่ครั้งนี้ ความใส่ใจในการดูต่างออกไป
หาคำตอบว่า เพราะอะไร
เค้าถึงชอบหนังเรื่องนี้ :)

เต็น เป็นช่างภาพ ของหนังสือท่องเที่ยว
วันหนึ่ง ในร้านหนังสือ
เค้าพบว่า หนังสือของเขาถูกเขียน
เมื่ออ่านแล้วเต็นรู้สึกหมั่นไส้
อยากเห็นว่าใครเป็นคนเขียน
จึงได้มีการเขียนตอบโต้กันไปมาหลายครั้ง
แต่เต็นก็คลาดกันกับคนนั้นทุกที

จนบังเอิญได้เจอกันที่ร้านอาหาร
ที่เต็นเป็นคนแนะนำไว้ในหนังสือนั้น
แรกเจอกับเภา เต็นก็กวนตีนไปตามนิสัย
แต่ที่จริงคือ เต็น คงจะตกหลุมรักเภาเข้าแล้ว

ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน
จีบกัน คบกัน ไปเที่ยวกัน ดูแลกัน
เหมือนว่าจะไปด้วยกันได้ดี
จนถึงวันนึงที่เป็นวันเกิดของเต็น
เภากำลังเอาของขวัญชิ้นสำคัญมาให้
ของขวัญที่เต็นให้สัญญาว่า 

      "จะดูแลของขวัญชิ้นนี้ไปตลอดชีวิต"

แต่แล้ว เภาก็โดนรถชนต่อหน้าต่อตา
เภาสมองตาย ได้แต่นอนหายใจ
โดยต้องมีเครื่องช่วยหายใจ
แม้แต่พ่อแม่เภา ก็ตัดใจ
แต่เต็นไม่ยอม
และต้องการจะดูแลเภา
ตามที่เคยสัญญากันไว้

เต็นดูแลเภาได้อย่างดีก็จริง
แต่ชีวิตเต็นกลับแย่ลง
เงินหมดและตกงาน
เครียดมากจนเหมือนจะเป็นโรคประสาท

จนพ่อแม่เภาทนดูต่อไปไม่ไหว
ปล่อยเภาให้จากไป...

ในตอนจบ มีฉากที่เต็นตอนแก่
พาเภาที่แก่แล้วออกมาดูดาว
และจับมือกันไว้
ในความรู้สึกเรา คิดว่า
น่าจะเป็น ความคิดถึง
ที่เต็นยังมีให้เภาอยู่เสมอ..

สำหรับเรา ถ้าเราเป็นเต็น
คงปล่อยเภาไปตั้งแต่แรก..

ถ้าเราเป็นเต็น เราจะเชื่อในความรักของเภา
ไม่มีใครอยากเห็นคนที่เรารักต้องลำบาก

ถึงเภาจะนอนหายใจเฉยๆ
แต่ที่จริงเภาอาจรับรู้
ความเป็นไปของเต็นอยู่ตลอดก็ได้
การที่เภาต้องเห็นชีวิตเต็น ย่ำแย่ลง
เป็นการทำร้ายจิตใจเภาอย่างหนึ่ง

การที่เต็น"รัก"ตัวเอง ก็เท่ากับ เต็น"รัก"เภาด้วย
และการที่เต็น"ดูแล"ตัวเอง ก็เท่ากับ เต็นกำลัง"ดูแล"เภา..

สำหรับเรา แค่เห็นคนที่เรารักมีความสุข 
ไม่ว่าในความสุขนั้นจะมีเราอยู่ด้วยรึเปล่า แค่นั้นก็พอแล้ว

ถึงจะดู อุดมคติ มากไปหน่อย แต่ก็ทำได้จริง :)

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Epic : 24Apr2015

Epic  :   24Apr2015

MK พึ่งกลับบ้านมาหาพ่อครั้งแรก
พ่อของ MK เป็นคนดูแลป่า
กำลังทำงานวิจัยและติดตาม
กลุ่มคนจิ๋วที่เหมือนเป็นภูติพิทักษ์ป่า

พ่อ MK สนใจแต่งานวิจัย
จนลืมใส่ใจ MK จน MK น้อยใจ
และกำลังจะหนีออกจากบ้าน

แต่บังเอิญได้รับดอกบัวจากราชินีคนจิ๋ว
ทำให้ MK ลดขนาดกลายเป็นคนจิ๋วไปด้วย

ราชินีคนจิ๋วตายMK จึงต้องรับหน้าที่
พาดอกบัวไปรับแสงจันทร์
ที่ทำให้ดอกบัวบานและแก้โรคเน่าที่คนจิ๋วฝ่ายร้าย
ต้องการทำให้ต้นไม่ในป่าหมดไป

MK ได้รับความช่วยเหลือจากพวกคนจิ๋ว
รวมทั้งพ่อตัวเอง ในการปฏิบัติภารกิจนี้
ซึ่งก็สำเร็จ และ MK ก็ได้กลับเป็นคนปกติ
Happy Ending


The Good Lie : 24Apr2015

The Good Lie  : 24Apr2015

เคยเห็นผ่านๆว่าหนังดี
จึงอยากลองดู

แต่เราก็ว่าธรรมดานะ
ยิ่งดูตอนดึกๆยิ่งน่าหลับ

เป็นเรื่องของชาวซูดาน
ที่เคยอยู่ในชุมชนเลี้ยงวัว
หาอาหารใช้ชีวิตปกติ

แต่แล้วสงครามที่เกิดขึ้น 
ทำให้พวกเขาต้องหนีเอาตัวรอด

ในกลุ่มเด็กที่ช่วยเหลือกัน
เดินทางมาด้วยกันหกคน

ธีโอคนโตสุด 
ยอมโดนจับแทน
เพื่อปกป้องน้องๆคนอื่น

ส่วนอีกห้าคนที่เหลือ 
พากันมาถึงค่ายผู้ลี้ภัย

แต่คนนึงป่วยมาระหว่างทาง
ก็ตายไปอีกคน

เมื่อสี่คนที่เหลือโตขึ้น
พวกเค้าได้รับความช่วยเหลือ
และถูกส่งให้ไปหางาน
ในสหรัฐอเมริกา

เค้าได้เจอและได้รับ
ความช่วยเหลืออย่างดีจากแคร์รี่
นักสังคมสงเคราะห์ที่มาช่วยหางานให้

วันหนึ่งพวกเค้าก็ได้รู้ข่าวว่าธีโอยังอยู่
และตอนนี้อยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัย

มาแมร์ ตั้งใจไปรับธีโอมาอยู่ด้วยกัน
แต่เรื่องการขออนุญาตไม่ผ่าน

มาแมร์จึงตัดสินใจ
ให้ตัวเองเป็นคนต้องอยู่ค่ายผู้ลี้ภัย
แล้วส่งธีโอมาอยู่อเมริกา
โดยสวมชื่อแทนมาแมร์

มาแมร์เห็นว่าธีโอเคยถูกจับแทน
และต้องรับความทุกข์ทรมานมามาก
เค้าอยากแบ่งปันชีวิตที่ดีให้กับธีโอบ้าง

ตามชื่อเรื่อง The Good Lie 
ที่ต้องการบอกว่า
การโกหก บางเรื่อง ถ้าเป็นเจตนาที่ดี
และให้ผลที่ดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
แต่สำหรับเรา 
เราก็ยังคงค้านความคิดแบบนั้นอยู่นิดๆ
ยังไงก็ยังต้องการความจริงอยู่ดี

ในตอนท้ายเรื่อง
มีประโยคหนึ่งบอกว่า

“ไปคนเดียว ไปได้ไว ไปด้วยกัน ไปได้ไกล”

ทั้งที่มาแมร์มีโอกาสที่ดี 
มีงานและได้เรียนหมอ
แต่เค้าก็ไม่เห็นแก่ตัว ยอมเสียสละ
เพื่อให้ธีโอได้มีชีวิตที่ดีบ้าง
เพราะสำหรับเค้า 
มิตรภาพและความผูกพันนั้นมีค่ามากกว่า
การประสบความสำเร็จในชีวิตของเค้าเอง


ลัดดาแลนด์ : 24Apr2015

ลัดดาแลนด์   : 24Apr2015

เคยดูนานแล้ว
ตามกระแสที่ได้รับคำชม
ว่าเป็นหนังผีที่น่ากลัว
และบทดราม่าดี

ซึ่งสำหรับเราก็ไม่มีอะไรให้กลัว
แต่บทดราม่าดีจริง

การนำเสนอชีวิตครอบครัว
การถูกกดดัน
ความเครียดเรื่องเศรษฐกิจ
ความไม่เข้าใจกันระหว่างพ่อกับลูกวัยรุ่น

เนื้อหาหนังมันดูมีความจริง

สิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจ คือ
ลัดดาแลนในความทรงจำเรา 
จบลงอย่าง Happy Ending

เราคิดว่าหนังจบที่
พ่อเข้าไปช่วยลูกวัยรุ่น
แล้วรับรู้ความรักที่มีให้กัน 
เข้าใจกัน แล้วจบ

แต่ความจริงที่ได้รับรู้
หลังจากดูอีกครั้ง คือ..
มันจบเศร้า

ธี หาเลี้ยงครอบครัว
ด้วยอาชีพเซลล์แมน
เค้าถูกแม่ยายดูถูก
ว่าเค้าจะดูแลเมียและลูกได้ไม่ดี

ธีจึงทำงานอย่างหนัก
เพื่อหาเงินมาซื้อบ้านใหม่ที่เชียงใหม่
เป็นการพิสูจน์ตัวเอง

แต่แล้วหมู่บ้านที่มาอยู่
ก็เริ่มมีปัญหา
มีคนตาย ปัญหากับเพื่อนข้างบ้าน
ปัญหากับลูกสาววัยรุ่นที่ไม่เข้าใจกัน
แล้วยังปัญหาการตกงาน

ปัญหารุมเร้าเข้ามามากมาย
ทำให้ธียิ่งเครียด

จนวันหนึ่ง นัสลูกชายคนเล็กหายไป
ธี ไปตามหาที่บ้านข้างๆ
ซึ่งเป็นบ้านที่ฆ่าตัวตายทั้งบ้าน
ผีหลอกรวมกับธีหลอน
ทำให้พลาดยิงโดนลูกชายตัวเอง

ธีคิดว่าลูกตัวเองตาย
เค้าเลยยิงตัวเองตายตาม
จบลงด้วยความเศร้า.. T-T


The Giver : 19Apr2015

The Giver  :  19Apr2015

พล็อตเรื่องเจ๋งอยู่นะ :)
ชุมชนหนึ่งถูกสร้างขึ้น
ให้เป็นระบบปิด
ควบคุมสภาพอากาศ
ให้เหมาะกับการผลิตอาหารภายในชุมชน

ประชากรถูกฉีดยาทุกเช้า
เพื่อระงับ “อารมณ์”
ตาเห็นเพียงสีขาวดำ 
และไม่มีความทรงจำเรื่องประวัติศาสตร์
ทุกคนในชุมชน
ทำตามคำสั่งคนที่ถูกเรียกว่า ผู้อาวุโส
ตั้งแต่เกิด

เกิดมาจาก ไข่ &สเปิร์มคนที่ฉลาดที่สุด
ถ้าทารกสุขภาพผ่านเกณฑ์
จะถูกกำหนดให้ไปอยู่ที่พัก
กับคนที่เป็นผู้ดูแลต่อไป

อายุถึง 9 ขวบ ก็จะได้จักรยาน
เรียนจบก็จะได้รับมอบหมาย
หน้าที่ภายในชุมชน

โจนาส เป็นหนึ่งในคนที่
กำลังจบการศึกษา
และได้รับเลือก
ให้เป็นผู้เก็บความทรงจำ

เค้าไปรับการถ่ายทอดความทรงจำ
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ภายนอก
จาก “ผู้ให้”

โจนาสเห็นและเข้าไปสัมผัส
สิ่งซึ่งภายในชุมชนนี้ไม่มี
หิมะ ทะเล แสงแดด
สงคราม การเข่นฆ่า ความโกรธ
ความเกลียด ความอิจฉา อารมณ์ต่างๆ
ความสุข รวมทั้งความรัก

เค้าเริ่มใช้อุบาย
ที่ทำให้ไม่ต้องได้รับยา ทุกเช้า

เค้าเริ่มมองเห็นสี
มีอารมณ์และมีความรัก

“ผู้ให้”บอกโจนาสว่า
โจนาสจะเป็นผู้ให้คำแนะนำคนในชุมชน
โดยใช้ประสบการณ์
จากความทรงจำที่ได้รับไป
และความทรงจำเหล่านี้จะมีผลกับอนาคต

แต่จุดเปลี่ยนมันเกิดขึ้น
เมื่อโจนาสรู้ว่า
ในชุมชน เมื่อมีคนทำผิดกฎ 
หรือต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
จะถูกฆ่าโดยวางยา

แต่บอกว่าเป็นพิธีส่งให้ไปอยู่ที่อื่น

เมื่อเกเบรียล เด็กทารก
ที่น้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์จะถูกส่งไป
โจนาสต้องหาทางช่วย 
ซึ่งมีทางเดียวคือต้องออกจากชุมชน
และข้ามเส้นความจำไปให้ได้

ซึ่งเค้าทำสำเร็จ

การข้ามเส้นความจำไป
ทำให้ความทรงจำประวัติศาสตร์
ของทุกคนกลับคืนมา

และคนในชุมชน
ต้องกลับมาใช้ชีวิตแบบมีอารมณ์กันอีกครั้ง

ดูจบแล้วต้องกลับมาคิดต่อ
อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ
มันมีสองด้านเสมอ
อารมณ์ทางลบให้ผลด้านลบ
อารมณ์ทางบวกให้ผลด้านบวก
แต่ถ้าถูกจำกัดให้ไม่มีอารมณ์เลย
มนุษย์จะยังเป็นมนุษย์ได้ยังไง??

ทางที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการรับรู้โลก
ตามความเป็นจริง
รับรู้ทั้งอารมณ์บวกและลบ

แต่ที่ปกป้องเราได้ดีที่สุด
คือจิตใจที่เข้มแข็ง
พอจะจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นให้ถูกทาง

“ความทุกข์” ไม่ได้ หยุด 
ด้วยการปิดกั้นการรับรู้,อารมณ์และความรู้สึก
แต่ “ความทุกข์” จะจบลง 
เมื่อได้รับรู้ตามความเป็นจริงและเรียนรู้มัน


Stonhearst asylum : 17Apr2015

Stonhearst asylum  : 17Apr2015

เพราะแนวจิตๆ 
จึงว่าจะไปดูตั้งแต่อยู่ในโรง
แต่หนังก็ออกจากโรงเร็วเกิ๊นนน 
ไปดูไม่ทัน

ซึ่งก็ไม่น่าเสียดายอะไร
เพราะหลังจากโหลดมาดูแล้ว
ความรู้สึกมันไม่สุดไปซักทาง
ทำให้ไม่มีมุมไหนให้ประทับอยู่ในใจ

จะให้ความรู้ทางการแพทย์ก็ไม่ใช่
จะเสนอแง่มุมในการดูแลผู้ป่วยทางจิตก็ไม่ใช่
จะให้พระเอกเป็นฮีโร่เยียวยารักษาโรคใจด้วยใจ
ก็เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่
ให้ความรู้สึกลึกลับซ่อนเงื่อนหักมุม 
ก็แค่นิดหน่อย
แล้วก็จบลงแบบว่า....
น่าเสียดาย
น่าจะทำให้จบได้ดีกว่านี้

เอ็ดเวิร์ดเข้ามา
ใน Stonhearst asylum 
ในฐานะแพทย์ฝึกหัด

แล้วเค้าก็พบว่า สถานบำบัดจิตแห่งนี้
ถูกแลมป์ หนึ่งในผู้ป่วยยึด
และเปลี่ยนแนวการรักษาใหม่

เบนจามิน หมอผู้อำนวยการสถานบำบัดตัวจริง
ถูกขังไว้ใต้ดิน

หนังตลกร้าย
ที่แสดงให้เห็นการรักษา
อาการทางจิตในยุคปี 1900
โดยเบนจามินจิตแพทย์ตัวจริง
ใช้วิธีโหดร้ายทารุณ
ช็อตไฟฟ้า ให้ยาเบลอ 
และสร้างสถานการณให้ผู้ป่วย
ตกอยู่ในสภาวะกดดัน

ในขณะที่แลมป์ 
จิตแพทย์ตัวปลอม
ปล่อยผู้ป่วยเป็นอิสระ
และมองว่า ที่พวกเขาเป็นอยู่นั้น
มีความสุขในแบบที่เขาเป็นอยู่แล้ว

เอ็ดเวิร์ดช่วยเหลือ
พวกพยาบาลที่ถูกขังไว้ใต้ดิน

แต่หมอเบนจามินถูกช็อตไฟฟ้า
จนความจำเสื่อมไปซะก่อน

แล้วเรื่องก็มาเฉลยว่า
เอ็ดเวิร์ดเองก็เป็นผู้ป่วย
มีอาการหลงผิดคิดว่าตัวเอง
เป็นนั่นเป็นนี่อย่างรุนแรง

เค้าเคยเจอกับเอไลซ่า
ซึ่งทำให้เค้าตกหลุมรัก

เค้าจึงวางแผนหนี
ออกจากสถานบำบัดที่เค้าเคยอยู่
มายังสโตนฮาร์ตที่เอไลซ่าอยู่

ซึ่งสุดท้ายทั้งเอ็ดเวิร์ดและเอไลซ่า
ก็ถูกส่งไปยังสถานบำบัดอีกที่หนึ่งอยู่ดี

สรุปแล้ว บ้ากันทุกคนซินะ เรื่องนี้??


Unbroken : 4May2015

Unbroken  : 4May2015

ฉากแรกขึ้นมาด้วยคำว่า 
“สร้างจากเรื่องจริง”
ผมนี่ตั้งใจดูเลย :)

สำหรับเราพอรู้ว่าเป็นเรื่องจริง
มันอินตั้งแต่ยังไม่รู้เนื้อเรื่องแล้ว

เป็นเรื่องราวชีวิตที่ผกผัน
และชีวิตต้องสู้ของลูอิส
(Louis Zamperini)

ในวัยเด็กดูเค้าเป็นคนอ่อนแอและเกเร
แต่ก็มีบางสิ่งท้าทาย
และกระตุ้นให้ลูอิสมีเป้าหมายขึ้นมา

ลูอิสเริ่มซ้อมวิ่งๆๆๆและวิ่ง 
จนเค้าได้รับเหรียญทองโอลิมปิก

แต่เมื่อเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง
เค้าต้องเข้าร่วมกองทัพ
ในหน้าที่พลระเบิด
บนเครื่องบินรบ  
                        
เค้ารอดจากการถูกยิงจู่โจมจากข้าศึก
แต่เครื่องบินกลับขัดข้อง
จนดิ่งลงมหาสมุทร

เค้าต้องลอยคลอ
และเอาชีวิตรอดอยู่กลางทะเล 
ร่วมกับฟิวและแม็ค

ท่ามกลางฉลามคลื่นลม 
พายุ และถูกเครื่องบินศัตรูไล่ยิง

อยู่กลางทะเล จับปลากินอยู่ 47 วัน
เรือกองทัพญี่ปุ่นก็มาพบ
และจับตัวไปเป็นเชลย

ลูอิสและฟิลถูกบังคับ
ให้บอกความลับของกองทัพ
แต่พวกเค้าก็ไม่ยอมบอกข้อมูลที่แท้จริง

หลังจากนั้นเค้าถูกส่งไปอยู่ค่ายเชลยศึก
เจอกับวาตานาเบ้
ผู้คุมจอมโหด

ทหารพันธมิตรถูกทารุณ
และใช้แรงงานอยู่ที่นี่

ลูอิสนั้นโดนทารุณต่างๆนานา
คงเป็นเพราะวาตานาเบ้
เห็นความใจสู้
และไม่ยอมแพ้ใครของลูอิสแล้วอิจฉา

ดูจากหนังเหมือนวาตานาเบ้
มีอารมณ์สองขั้ว
ด้านนึงก็ชื่นชมลูอิส
แต่อีกด้านก็อิจฉา
และข่มความอิจฉานั้น
ด้วยการทำโทษรุนแรง

แต่ยังไงก็ตาม 
สุดท้ายกองทัพพันธมิตรก็ชนะสงคราม
และลูอิสได้กลับบ้าน 
จบอย่าง Happy Ending

แต่หนังที่สร้างจากเรื่องจริง
มันดีอย่างนี้
ที่เราจะได้รู้ความเป็นไป
หลังจาก Happy Ending ในหนังแล้ว

หลังสงคราม 
ลูอิสและฟิลได้กลับบ้าน
และใช้ชีวิตแต่งงานตามปกติ

มันตื้นตันน้ำตาเอ่อ 
ตรงที่ลูอิสให้อภัย
เหล่าคนญี่ปุ่นที่เคยทารุณเค้า
รวมทั้งวาตานาเบ้ด้วย

แต่วาตานาเบ้ก็อาจจะรู้สึกละอาย
เกินกว่าจะยอมรับการอภัยจากลูอิส
จึงไม่ยอมให้เข้าพบ

เมื่อลูอิสอายุได้ 80 ปี
เค้าได้ไปวิ่งถือคบเพลิง
ในกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ

ซึ่งตอนนั้น ถ้าไม่มีสงครามเกิดขึ้นซะก่อน
เค้าคงได้เป็นหนึ่งในผู้แข่งขัน
ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

ลูอิสเสียชีวิต ปี 2014 
ก่อนหนังจะเข้าฉายในปี 2015

ทั้งหมดนี้ 
หนังได้แสดงอย่างชัดเจน
ถึงความใจสู้ของลูอิส

กับประโยคที่พี่ชายลูอิส
เคยบอกไว้ว่า

“ถ้าทนได้ ก็ได้ไปต่อ”

ทำให้คนดูอย่างเรา 
และอีกหลายๆคน
เห็นคุณค่าของความอดทน
และความพยายาม

ใจความหลักของหนัง
บอกให้เรารู้จักอดทนรอคอย
เมื่อเราผ่านช่วงเวลา
ที่ทุกข์ทนลำบากไปได้
เราก็จะพบความสดใสที่รออยู่

อย่างที่คุณบาทหลวงต้นเรื่อง
ได้สอนไว้ว่า
พระเจ้าสร้างแสงดวงใหญ่ 2 ดวง
ดวงใหญ่ครองกลางวัน
ดวงเล็กครองกลางคืน
แยกออกจากกัน
ทำหน้าที่ต่างกัน
พระเจ้าไม่ได้สร้างมาเพื่อให้รบรากัน
เราต้องใช้ชีวิตผ่านรัตติกาล
ไปเจอกับแสงสว่างที่รออยู่ในวันรุ่งขึ้น