วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Into The Wild : 15 May 2015

Into The Wild  :  15 May 2015

เปิดกระทู้หาหนังน่าดูในพันทิพ
หนึ่งในนั้นคือเรื่องนี้
เลือกมาดูก่อนใครเพราะชื่อหนัง
เวอร์ชั่นภาษาไทยคือ “เข้าป่าหาชีวิต”
จากชื่อแล้วก็น่าจะเป็นหนัง
ที่สื่อถึงการค้นหาความหมายชีวิต
ในอีกแง่มุมหนึ่ง

เมื่อดูจบ จึงรู้ว่าหนังนี้
มาจากเรื่องจริง
การค้นหาความหมายชีวิต
ในแบบของคริสมีอยู่จริง..
และแม้ว่าหนังจะจบ
แบบไม่ Happy Ending
แต่หนังก็ได้ให้แง่คิดกับคนดู
ให้เอาไปคิดต่อยอดได้อีกหลายประเด็น

หนังเล่าว่า
หลังจากคริสเรียนจบมหาลัย
ก็หลอกพ่อกับแม่ว่าไปเรียนต่อ

แต่ที่จริงกลับบริจาคเงิน
ทุนการศึกษาที่มีอยู่
แล้วเก็บของแบกเป้
ไปใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องการ
ให้ครอบครัวหาเจอ

ในความคิดของคริส
เค้าอยากลองใช้ชีวิต
ในแบบที่เป็นอิสระ
จากโลกนามธรรม
ที่ให้ค่ากับความเจริญ 
อำนาจ และวัตถุนิยม

เค้าไม่อยากมี 
ไม่อยากยึดติดกับอะไร
ที่บดบัง “ตัวตน” 
หรือ “แก่น” ที่แท้จริงของเค้า

หนังย้อนไป
ให้เราพอเข้าใจว่าทำไม
คริสจึงมีแนวคิดแบบนี้

พ่อกับแม่คริสแต่งงานกัน
และมีคริสกับน้องสาว
โดยที่ไม่รู้ว่าพ่อคริสมีเมียและลูกอยู่แล้ว
คริสกับน้อง
จึงกลายเป็นแค่ลูกนอกสมรส

เมื่อแม่รู้ว่าตัวเองเป็นเมียน้อย
ก็ทะเลาะกับพ่อเกือบทุกวัน
แต่ก็ไม่ยอมเลิกกัน
เพราะต้องรักษาหน้าตาในสังคมไว้

ในใจเด็กที่ต้องเจอ
กับเรื่องราวแบบนั้นทุกวัน
เราเองก็พอจะเข้าใจว่าทำไม 
คริสจึงอยากหนีห่างจากสังคม

ในช่วงสองปีที่เค้าออกจากบ้านมา
เค้าอาศัยโบกรถ
และพบผู้คนที่หลากหลาย
เค้ามีมนุษยสัมพันธ์ 
แต่เค้าไม่ให้ความผูกพันกับใคร

เค้าเข้าป่าไปใช้ชีวิตเรียบง่าย
หิวก็ล่าสัตว์ เก็บผลไม้
เบื่อป่าก็ออกมารับจ้างทำนั่นนี่เล็กๆน้อยๆ

ชอบความสัมพันธ์
ระหว่างคริสกับแต่ละคนที่เค้าพบเจอ

-          --ทั้งกับคู่รักฮิปปี้ ที่ผู้หญิงมีลูก
และลูกหนีออกจากบ้าน
เหมือนกันกับคริส
ผู้หญิงเสียใจ
และรู้สึกว่า
ไม่ควรได้ความรักจากใครอีก
ผู้ชายที่รัก
และดูแลผู้หญิงคนนี้มาหลายปี
ได้แต่รอคอยให้ผู้หญิง
เปิดใจยอมรับ
เมื่อผู้หญิงได้เจอคริส
ก็รู้สึกผูกพันเหมือนลูก
ผู้หญิงบอกให้คริสรู้ 
ถึงความเสียใจของพ่อแม่
ที่ต้องสูญเสียลูกไป
คริสช่วยให้ความสัมพันธ์
ของคู่รักฮิปปี้นี้ลงตัวขึ้น

-          ---กับสาวสวยอายุ 16 ที่มาชอบคริส
และถึงคริสจะชอบเช่นกัน
แต่คริสก็ต้องการอิสระ
เกินกว่าจะถลำตัว
เข้าไปมีความสัมพันธ์
และผูกพันด้วย

-          ---กับครอบครัวชาวนา
คริสไปรับจ้างขับรถเกี่ยวข้าว
เค้าสนุกกับงานชั่วคราวนี้
เช้าตื่นมาทำงานเกี่ยวข้าว
เย็นกินเหล้า 
ระหว่างกินเหล้า
เค้าเล่าให้นายจ้างฟัง
เรื่องความรู้สึกกดดันต่างๆที่ทำให้เค้า
อยากออกมาใช้ชีวิต
หลุดพ้นจากวัตถุนิยม
และโลกนามธรรมเหล่านั้น
ทำไมผู้คนต้องเลวร้ายใส่กัน
ทำไมต้องอยากมีอำนาจ 
อยากจะบงการชีวิต
และตัดสินคนอื่นๆ
แต่นายจ้างที่มองโลกจากมุมที่ต่างกัน
บอกกับคริสว่า “คุณกำลังมีปัญหา
เพราะคุณใส่ใจกับเรื่องพวกนี้มากเกินไป”

-         --- กับรอน ชายชราที่อยู่ตัวคนเดียว
คริสท้าทายให้รอนปีนเขา
และออกไปพบเจอกับโลกภายนอก
คริสทำให้รอนตื่นเต้น
สนุกสนานกับชีวิตที่แปลกใหม่
และทำให้รอนอยากจะได้คริส
มาเป็นหลานชาย
รอนบอกคริสว่า 
“เรื่องพ่อแม่ ถ้าคริสให้อภัยได้ 
คริสก็จะรักเป็น”

ซึ่งถึงแม้ คริสจะได้เจอกับคนที่ดีกับเค้า
และได้รับบทเรียนดีๆระหว่างนั้น
แต่สำหรับคริส เค้ามองว่า
อิสรภาพและความเรียบง่าย
มันดีจนเค้าไม่อยากปฏิเสธ

บางทีความรัก ความผูกพัน 
ก็ทำให้เกิดความกลัว
กลัวที่จะต้องสูญเสีย
ถ้าใช้ชีวิตแบบไม่ต้อง “กลัว” สิ่งที่อยู่ข้างหน้า 
มันอิสระมากๆเลย

    คริสยังคงอยากออกไป
    เผชิญโลกภายนอก
โดยมีเป้าหมายคือ อลาสก้า

เมื่อเค้าไปถึงชายป่า
ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

เค้าบังเอิญเจอรถบ้าน
ที่เคยมีคนอาศัยอยู่
เค้าปักหลักอาศัยอยู่ที่นั่น
ทำบันทึก อ่านหนังสือ
เรียนรู้ธรรมชาติรอบข้าง

วันหนึ่งขณะอ่านหนังสือ
เค้าก็คิดได้ว่า 
เค้าอยากกลับไปมีครอบครัว

แต่เมื่อน้ำแข็งละลายแล้ว
แม่น้ำที่เชี่ยวมาก 
วางกั้นทางกลับ
เค้าต้องกลับมาอยู่ที่รถบ้านอีกครั้ง

ไม่นานหลังจากนั้น
เค้าก็บังเอิญไปกินมันอลาสก้าซึ่งมีพิษ
และเค้าต้องจบชีวิตลงที่รถบ้าน
ในป่าแห่งนี้

ก่อนตาย เค้าเขียนไว้ในหนังสือว่า
Happiness  only real when shered
ความสุขที่แท้จริง เกิดขึ้นเมื่อได้แบ่งปัน

และคิดไปว่า หากตอนนี้เค้ากลับไป
อยู่ในอ้อมกอดของพ่อกับแม่
พ่อกับแม่จะเห็น
เหมือนกันกับที่คริสเห็นมั้ย??

ตอนที่ดูในช่วงแรกๆ
รู้สึกว่าคริสมีแนวคิด
และกล้าออกไปใช้ชีวิตแบบนี้ก็เจ๋งดี

แต่พอดูไปเรื่อยๆจะพบว่า
คริสนั้นเลือกดำเนินชีวิตแบบสุดโต่ง

ซึ่งสำหรับเราที่เป็นคนดู
ดูแล้วต้องปรับให้เป็นความคิดที่สมดุลขึ้น

คนเราต่างเกิดมา
เพื่อเรียนรู้ในแง่มุมที่ต่างกัน
ความจริงของคนนึง
อาจไม่ตรงกับความจริงของอีกคน
แต่ละคนก็มีแง่มุม
ในการไขว่คว้าหาความสุขของตัวเอง

“จริงของคริส”
“จริงของคู่รักฮิปปี้”
“จริงของคุณชาวนา”
และ “จริงของรอน”

แม้แต่กับพ่อแม่ของคริสเอง
ที่เหมือนถูกมองว่า
เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด
เค้าก็ไม่ได้ผิดอะไร
ที่เค้าเป็นไปตามกระแสสังคม

น้องสาวคริสบันทึกไว้ว่า
หลังจากคริสหายไป
พ่อกับแม่ก็รู้สึกผิด
ความรู้สึกผิดกลายเป็นความเจ็บปวด
    ความเจ็บปวดทำให้พวกเค้า
    เห็นอกเห็นใจและใกล้ชิดกันมากขึ้น

คนเราทุกคน มีเวลาในการเรียนรู้โลกเท่าๆกัน
อยู่ที่เราเลือกเรียนรู้ในแง่มุมไหน..


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น