วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

รักหมดแก้ว

รักหมดแก้ว: 4 Oct 2015

ทีเซอร์ตัดมาให้ดู
ตอนที่พระเอกกับนางเอกทะเลาะกัน
ผู้หญิงบอกว่า “ถ้ารับเงื่อนไขฉันไม่ได้ ก็ไม่ต้องคบ”
แล้วผู้ชายบอกว่า 
“แล้วใจที่มันผูกพันไปแล้วล่ะวะ ใครจะรับผิดชอบ”

แค่สองประโยคนี้
ทำให้อยากรู้มากเลยว่า เงื่อนไขอะไร
และเรื่องจะจบลงยังไง

รอโหลดอยู่นาน แต่หาโหลดไม่ได้
ดีที่มีคนโหลดมาให้ดู..ขอบคุณนะ :)

ฉากแรก คือไฟเลี้ยวในวัย 15
ฟังเพลง ที่ว่าง ของพอส
และอ่านหนังสือปรัชญา คาริล ยิบราน
แล้วตัดสินใจแน่วแน่ว่า 
จะมีความรัก แบบไม่มีการผูกมัด
ไม่หวงแหน ไม่ครอบครอง

แค่เริ่มฉากแรกเราก็อึ้งแล้ว
ตอนเราอายุ 15 แม่งยังไม่ประสีประสาอะไรเลย!!
ถึงจะเกิดทันเพลงที่ว่าง
แต่ก็พึ่งจะมาเข้าใจความหมายลึกซึ้ง
ที่ซ่อนอยู่ในเพลงก็ตอนโตมากแล้ว..

ไฟเลี้ยวโตมาแบบเปลี่ยนแฟนไปเรื่อย
เมื่อรู้สึกไม่มีความสุข เมื่อรู้สึกถูกผูกมัด
ก็จะเปลี่ยนไปเริ่มกับคนใหม่ทันที

จนไฟเลี้ยวมาเจอโจ้
ถึงจะรักๆเลิกๆกันหลายครั้ง
เพราะเมื่อโจ้รักไฟเลี้ยว 
จนอยากจะมีสถานะที่ชัดเจน
ไฟเลี้ยวก็บอกเลิกทันที

แต่โจ้ก็ตามง้อ
และพยายามยอมรับเงื่อนไขของไฟเลี้ยวให้ได้
และกลับมาคบกันใหม่อีกครั้ง และอีกครั้ง

สำหรับเรา มองว่านิยามความรักของไฟเลี้ยวก็ดีนะ
รักกันไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของครอบครองกัน
ไม่ใช่การบังคับให้อีกคนเป็นแบบที่เราอยากให้เป็น
แต่ที่ไฟเลี้ยวปฏิบัติ มันก็สุดโต่งเกินไป
คนเราจะรักจะเลิกง่ายกันขนาดนั้นเลยเหรอ

เพราะงั้นเราจึงเห็นด้วยกับความรักแบบโจ้มากกว่า
ที่มีระยะห่างระหว่างกัน
ไม่ครอบงำตัวตนของกันและกัน
แต่ก็ให้ความรู้สึกผูกพันกัน

ช่วงหนึ่งของหนัง ที่ไฟเลี้ยวบอกเลิกโจ้
และเก็บข้าวของจากไป
เราว่าฉากนั้นไฟเลี้ยวก็อยากจะใจอ่อนแล้วแหละ
เพราะรักและผูกพันกับโจ้ไปแล้วจริงๆ

แต่เพราะคำพูดที่ตัวเองเคยพูดไว้
เพราะอุดมการณ์มันค้ำคอ
ทำให้ไฟเลี้ยวยังตัดสินใจเดินจากไปอยู่ดี

เราดูแล้วเจ็บปวดแทน
เลิกกัน ไม่ใช่เพราะไม่รักกัน
แต่เลิกกันแค่เพราะรักษาอุดมการณ์
ทำไมไม่จริงใจกับความรู้สึกตัวเอง

สำหรับคู่โจ้กับไฟเลี้ยว
เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ต่างคนต่างมีเวลาได้คิด
เมื่อเค้าได้เจอกันอีกครั้ง
ความโหยหาซึ่งกันและกัน
ทำให้เค้ากลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ไม่ยาก
ซึ่งครั้งนี้ ทั้งคู่ต้องยอมปรับเพื่อให้ความต้องการตรงกัน

นอกจากเรื่องความรักของโจ้กับไฟเลี้ยวแล้ว
หนังยังพยายามนำเสนออีกหลายประเด็น
ผ่านตัวละครที่รวมแก๊งค์กันในวงเหล้า

พี่อุ๊ที่เป็นมะเร็งใกล้ตาย
แต่ก็ปิดบังไว้
เพราะกลัวทำให้วงเหล้าที่เคยสนุกสนานเฮฮา ต้องกร่อยลง
พี่อุ๊ทิ้งท้ายไว้ว่า
ชีวิตคนเรา มันเหมือนรถไฟเหาะ ที่สนุก เสียว แต่ก็สั้น
ทั้งที่ก็อยากอยู่ต่อ
อยากทำอะไรอีกหลายอย่าง
แต่ในเมื่อจะต้องตาย
ก็ขอมีความสุขให้เต็มที่
คนที่ยังอยู่ก็ไม่ต้องเสียใจ
เพราะเดี๋ยวก็ต้องตามๆไปอยู่ด้วยกันอยู่ดี

กับอีกประเด็น คือการดำเนินชีวิตของแต่ละคน
เมื่อถึงจุดหนึ่ง คนเราก็ต้องถีบตัวเอง
เพื่อเข้าหาความสุข ความมั่นคง
บางคนอาจต้องยอมกลับไปเริ่มใหม่
แต่ก็เริ่มใหม่พร้อมบทเรียนบางอย่าง

ที่น่าจะทำให้อนาคตดีขึ้น..



2 ความคิดเห็น: